ในระบบผลิตกำลังไฟฟ้านั้น
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จะเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้เพียงพอต่อปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย
ในการเดินเครื่องกำเนิดของ กฟผ. จะจัดให้มีกำลังการผลิตสำรองพร้อมจ่ายทันที (Spinning
Reserve) เท่ากับกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในระบบ
ประมาณ 700 MW. หากเกิดเหตุขัดข้องในระบบผลิตกำลังไฟฟ้าของ
กฟผ. เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าโรงจักรไฟฟ้าต่างๆหยุดจ่ายไฟฟ้ากะทันหัน หรือสายส่งฯลฯ
ที่สำคัญๆเชื่อมโยงจ่ายไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเข้าสู่ระบบขัดข้อง
หรือ เกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าลดลง
กำลังผลิตสำรองที่เหลือจะสามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าแทนได้ทันที
และหากมีผลต่อเนื่องทำให้โรงไฟฟ้าหลุดออกจากระบบเพิ่มมากกว่าปริมาณโหลดที่จ่ายอยู่ในขณะนั้นมากขึ้น จะทำให้มีผลต่อระบบการจ่ายไฟฟ้าโดยรวม วิธีการที่จะช่วยรักษาสภาพการจ่ายไฟฟ้าให้คงอยู่ได้มากและเหมาะสมกับสภาพการผลิตของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในขณะนั้น
การแก้ปัญหาในส่วนของ กฟภ.
ก็คือการจัดทำแผน Load Shedding โดยอาศัย Under frequency
Relay (UF Relay) ซึ่งจะถูกติดตั้งและ Setting
ค่าต่าง ๆ ไว้ตามสถานีไฟฟ้าต่างๆ เพื่อปลดโหลดบางส่วนออก
โดยกระจายปลดโหลดไปทั่วประเทศตามความถี่ของระบบที่ต่ำลง
เพื่อรักษาเสถียรภาพส่วนใหญ่ของระบบให้คงอยู่ได้ โดย กฟภ. ได้จัดทำแผนปลดโหลดด้วย Under
frequency Relay (UF Relay) เพื่อปลดโหลดผู้ใช้ไฟที่ละวงจร หรือฟีดเดอร์ต่างๆ
ของหม้อแปลงภายในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. แบ่งเป็น 5 Step โดยจะปลดโหลดออก
Step ละ 10% ของโหลด กฟภ. ดังนี้
EGAT& PEA Underfrequency
Relay LOAD SHEDDING